การปลูกกาแฟเชิงพานิชย์  เป็นเรื่องที่ตอบยากครับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการด้วยตัวเอง เพราะทั้งค่าใช้จ่ายและรายได้จะแปรเปลี่ยนไปตามต้นทุนจริงในแต่ละพื้นที่ครับค่าใช้จ่ายหลักในเบื้อต้น คือค่าต้นพันธุ์ และค่าแรงปลูก  แต่หากดำเนินการเองภายในครอบครัว จะสามารถลดค่าใช้จ่ายหลักในสวนกาแฟ คือค่าแรงคนงานได้เยอะทีเดียว

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาประจำปีก็จะมีค่าปุ๋ย(ในกรณีต้นกาแฟอายุเกิน ๑๐ ปี จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยครับ) ค่าแรงถางหญ้า ค่าระบบน้ำชลประทานในหน้าแล้ง หากพื้นที่ที่ปลูกนั้นแห้งแล้งเป็นระยะเวลานาน  และค่าใช้จ่ายหลักที่หนักที่สุดคือค่าแรงการเก็บเกี่ยวครับ

ยิ่งรายได้ ก็มีการผันแปรไปในแต่ละพื้นที่ โดยมีปัจจัยหลักคือ ความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์ของดิน  อายุต้นกาแฟ และปัจจัยรองอีกหลายประการ

ยกตัวอย่างในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เคยมีเกษตรกรบริเวณตีนทางขึ้นดอยตุงฝั่งบ้านผาหมี ปลูกกาแฟอราบิก้าในพื้นที่หกไร่ สามารถสร้างรายได้ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาทโดยไม่มีระบบน้ำ  ในขณะที่เกษตรกรบนยอดดอยตุง ใช้พื้นที่สามสิบไร่ สามารถสร้างรายได้เพียง สองแสนหกหมื่นบาท ทั้งๆ ที่มีระบบน้ำ และจำหน่ายกาแฟได้ในราคาเดียวกัน 

คงพอได้ชี้แจงข้อสงสัยของคุณหยกในเบื้องต้นได้นะครับ

ปล. ผมได้ส่งเมล์กรณีการจองต้นกล้ากาแฟไปให้คุณหยกแล้วนะครับ

เอาแบบว่าอยู่ที่กำลังของตัวเราเองครับ  ถึงจะปลูก50ไร่ถ้าขาดการดูแลก็จะได้ผลไม่ดีครับ  ถ้าปลูก5-10ไร่ภูมิอากาศเหมาะสม ปริมาณน้ำเพียงพอ การจัดการดี  เช่น  ใส่ปู๋ยถูกต้อง  จัดการเรื่องวัชพืชสมำเสมอ ก็จะได้ดีกว่า  และขอบอกว่าต้องปลูกในร่มไม้รำไรนะ  ถ้าปลูกกลางแจ้งต้องมีน้ำนะครับ