|
|
ขอบคุณและรบกวนสอบถามครับ | |
Bluefin | เรียน คุณต้น ขอบคุณมากครับ ถ้าผมได้เริ่มต้นปลูกกาแฟคงต้องรบกวนอีกมากเลยครับ คงต้องรบกวนสอบถามคร่าวๆดังนี้ครับ เดิมทีผมมีธุกิจหลักทางด้านพลาสติก แต่มีความชอบทางเกษตรเป็นการส่วนตัวและตอนนี้เริ่มมีเงินทุนอยู่ก้อนหนึ่ง จึงคิดอยากจะทำการเกษตร เดิมทีมองพืชที่คิดจะปลูกไว้คือพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมาก เพราะเราไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอ จึงมองไว้สามสีชนิดดังนี้ครับ
1.ยาง คิดว่าจะปลูกร่วมกับกล้วย 2.กาแฟ คิดว่าจะปลูกร่วมกับสะตอ
ผมมีความรู้ในเชิงปฏิบัติเรียกว่าเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ครับ เพราะความรู้ส่วนใหญ่เกิดจากการอ่านหนังสือและได้จากอินเตอร์เน็ต เลยอยากจะสอบถามคร่าวๆดังนี้ครับ
1. ขนาดของสวนกาแฟที่สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างเพียงพอควรมีขนาดสวนประมาณกี่ไร่ครับ และสวนกาแฟขนาดกี่ไร่ถึงมีศักยภาพในการต่อรองราคาขายเมล็ดกาแฟได้ครับ 2. พื้นที่จังหวัดที่เหมาะสมในการปลูก ที่มีความสะดวกในเรื่องการขนส่ง และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆได้สะดวก เดิมทีผมมองจังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรีไว้เพราะมีความความชอบเป็นการส่วนตัว แต่ไม่แน่ใจว่าเหมาะสมหรือไม่ 3. จำนวนเงินลงทุนต่อไร่ และจำนวนเงินที่หล่อเลี้ยงสวนจนกว่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว และระยะเวลาคืนทุน
ผมคงต้องรบกวนคุณต้นเท่านี้ก่อนนะครับ และเมื่อผมจัดหาที่ทางได้เรียบร้อยคงต้องสอบถามคุณต้นเพิ่มเติมอีกครั้ง และสุดท้ายผมขอชื่นชมคุณต้นที่ได้ให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปโดยไม่มีปิดบัง และยังสนับสนุนให้เกิดการแบ่งปันในสังคม หากในสังคมมีคนอย่างคุณต้นมากๆผมเชื่อว่าสังคมของเราคงจะน่าอยู่และร่มเย็นเป็นสุขมากๆครับ
ปล.ผมจะโพสฝากคำถามไว้ในเวบด้วยนะครับเผื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นที่สนใจเช่นผม และหากไม่รบกวนคุณต้นเกินไปฝากคุณต้นตอบผ่านทางเมล์ผมด้วยนะครับ
ขอแสดงความนับถือ
บรรพต |
ผู้ตั้งกระทู้ Bluefin :: วันที่ลงประกาศ 2010-09-27 11:10:36 IP : 125.27.238.84 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2113826) | |
ต้น ทวยเทพฯ | สวัสดีครับคุณบรรพต... ยกยอผมเสียจนเขิลล์...บิดไปบิดมาอยู่หลายวัน... เข้าเรื่องดีกว่านะครับ.... การเกษตรนั้นเป็นการบริหารจัดการต้นไม้อันเป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้น คงจะบอกว่าไม่ต้องดูแลเสียเลยคงจะเป็นไปไม่ได้ครับ คงจะต้องเอาใจใส่กันพอสมควร มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ความต้องการของต้นไม้ต่างชนิด.. ๑ การปลูกต้นยางพารา และกล้วย เป็นoption ที่ดีพอสมควรสำหรับคนมีเวลาไม่มากนัก... ต้นกล้วยให้ผลในประมาณเดือนที่ ๑๘ และเรื่อยไปจนกว่าพุ่มต้นยางจะบดบังแสงเกินกว่า ๔๐ % แต่กว่าจะถึงป่านนั้น ต้นยางก็เริ่มๆ จะมีน้ำยางพอให้กรีดบ้างแล้ว..... ๒ ส่วนการปลูกกาแฟกับสะตอนั้นก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพื้นที่ชุ่มชื้นครับ... เรื่องการปลูกหรือราคาสะตอนั้นผมไม่มีความรู้เท่าไร แต่เห็นว่าราคาสูงอยู่พอสมควรทีเดียว สำหรับพื้นที่บริเวณจังหวัดลพบุรีนั้นจะแห้งแล้งเสียหน่อย เว้นแต่บริเวณที่อยู่ใกล้กับเพชรบูรณ์ ก็พอชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง ส่วนเพชรบูรณ์ ก็แล้วแต่พื้นที่นะครับ ส่วนดีคือใกล้กรุงเทพดีครับ ง่ายต่อการขนส่ง และการขึ้นไปดูแล(หากนิวาสถานอยู่กรุงเทพ) และราคที่ดินยังไม่แพงมากเท่าไรนัก... หากเลือกสองจังหวัดนี้... ต้องพิจารณาแหล่งน้ำเป็นสำคัญครับ... ต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอในหน้าแล้ง
๑. และ ๒. รวมตอบนะครับ ในการเลือกปลูกกาแฟ เนื่องจากกาแฟเป็นพืชอุตสาหกรรม ที่มีราคากลางค่อนข้างเดียวกันทั่วประเทศ ไม่ว่าเราจะปลูกมากปลูกน้อย การที่เจ้าของสวนสวนเดียวจะเป็นผู้กำหนดราคา คงเป็นไปไม่ได้ครับ ราคาคงขึ้นลงตามกลไกตลาด แต่หากเราแปรรูปดีๆ แล้วเก็บกาแฟไว้ขายช่วงกลางปี(พ.ค.-ก.ย.) ราคากาแฟก็จะดีพอสมควรทีเดียวครับ การทำการเกษตรไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายนัก สักสิบไร่ยี่สิบไร่ก็โอเคแล้วครับ หากลงทุนมากในพื้นที่ใหญ่ๆ ในเบื้องต้น ปัญหาก็มากมายตามขนาดพื้นที่ที่ปลูก ยิ่งถ้าไม่มีประสบการณ์หรือความชำนิชำนาญมาก่อน ทำอย่าให้เกินสิบไรยี่สิบไร่ยิ่งดีครับ จนพอมีความรู้มีประสบการณ์บ้าง ค่อยขยายก็ไม่ช้าไป เรื่องลงทุนใหญ่ แล้วเจ็บหนัก... ครอบครัวของผมผ่านมาแล้วในการปลูกกาแฟช่วงแรกๆ ครับ ลดพื้นที่จากเจ็ดแปดสิบไรลงมาเหลือเพียงสี่สิบไร่ แล้วพอชำนาญ ก็ค่อยๆ ขยายจนมาเป็นร้อยไร่ในปัจจุบัน และหากเลือกปลูกกาแฟในสองจังหวัดที่ว่า ผมขอนุญาตฟันธงว่าปลูกโรบัสต้าดีกว่าแน่นอนครับ ยิ่งถ้าไม่ได้พำนักอาศัยอยู่ในสวนเองด้วยแล้ว โรบัสต้าง่ายกว่าเยอะครับ การปลูกกาแฟอราบิก้าเหมือนกับการเลี้ยงเด็ก...ต้องเอาใจใส่พอสมควร ๓. จำนวนเงินลงทุนต่อไร่นั้น ตอบยากจริงๆ ครับ เพราะจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ความอุดมสมบูรณ์ของดินเอย ความชื้นเอย เป็นปัจจัยที่แตกต่างกันทั้งสิ้น เอาเป็นว่า ราคาต้นพันธ์กาแฟ รวมค่าขนส่ง ไม่เกิน ๑๐ บาทต่อต้น อราบิก้าปลูก ๔๐๐ ต้นต่อไร่ โรบัสต้าปลูก ๓๐๐ ต้นต่อไร่ ปุ๋ยก็แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ระบบน้ำก็แล้วแต่การวางระบบ ค่าแรงคนงานก็ขึ้นลงอยู่แต่ละพื้นที่ครับ... การปลูกกาแฟจะได้ขายผลผลิตจริงๆ ก็ปีที่ ๔ ที่ ๕ แหละครับ... ที่ต้องเตรียมเป็นหลักก็คือค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าแรง ค่าน้ำมันตัดหญ้า ค่าปุ๋ย(ปีละสามสี่ครั้ง) ลองพิจาณาดูนะครับ... หากต้องการข้อมูลใดเพิ่มเติม ก็สอบถามเพิ่มเติมมาได้เลย... ยินดีตอบทุกคำถามด้วยความยินดียิ่งครับ... |
ผู้แสดงความคิดเห็น ต้น ทวยเทพฯ (boss-at-thecoffeecartel-dot-co-dot-th) วันที่ตอบ 2010-09-29 18:08:14 IP : 124.122.254.239 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2113864) | |
Bluefin | ขอบคุณครับคุณต้น ได้ความกระจ่างขึ้นมากครับ แต่ผมยังติดที่ราคาและขนาดพื้นที่ปลูกครับ เนื่องจากผมเห็นมีหลายคนในเน็ตพูดว่าถูกกดราคากาแฟจึงต้องหาลู่ทางคั่วเอง จึงรบบกวนขอถามเพิ่มเติมนะครับ 1.ถ้าตามที่คุณต้นว่าในบ้านเรามีราคากลางเป็นกาแฟสดหรือต้องคั่วแล้วครับ 2. ผมเคยเห็นคุณต้นแนะนำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟควรมีโรงคั่วกาแฟของตนเองด้วย ในส่วนนี้จำเป็นมากน้อยขนาดไหนครับ และมีผลดีอย่างไร รวมทั้งต้องลงทุนอะไรบ้างครับในส่วนนี้ 3.ลักษณะสวนที่ผมวางกาแฟเป็นไม้เอกและสะตอเป็นไม้รอง ควรวางพื้นที่สวนระหว่างต้นห่างกันขนาดไหนครับ และหากผมคิดที่จะปลูกผสมผสานไม้ทั้งสี่เข้าในพื้นที่เดียวจะให้ผลดีหรือเสียอย่างไร 4.ระบบน้ำควรใช้ระบบเป็นน้ำหยดในสวนไหมครับ ผมเคยเดินระบบน้ำในสวนขนาดสองไร่ของตนเองเห็นว่าการใช้ท่อพีอีและต่อหัวน้ำหยดทำได้สะดวกกว่าการใช้พีวีซีและหัวสปริงเกอร์มากๆครับ และยังดูแลง่ายและเสียหายยากกว่า 5.ผมเคยอ่านบทความหลายครั้งเรื่องการเลี้ยงสัตว์ในสวนยาง ประเภทม้าหรือแพะ ช่วยกำจัดวัชพืช และยังช่วยประหยัดค่าปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์โดยตรง และยังทำให้ผลผลิตดีขึ้นนั้น สามารถนำมาประยุกซ์ใช้ได้ไหมครับ และจะส่งผลอย่างไรกับกาแฟ ซึ่งผมกลัวว่าม้าหรือแพะที่นำมาเลี้ยงจะเปลี่ยนเป็นกินใบและผลกาแฟแทนวัชพืช รวมถึงเหยียบต้นกาแฟได้รับความเสียหายแทน ผมคงรบกวนคร่าวๆเท่านี้ก่อน และยังไงคงต้องมารบกวนคุณต้นจริงๆจังๆอีกครั้งแน่นอนครับ และขอขอบคุณคุณต้นอีกครั้งมา ณ ที่นี้ด้วยครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น Bluefin วันที่ตอบ 2010-09-29 20:21:10 IP : 202.176.132.123 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2114026) | |
ต้น ทวยเทพฯ | ด้วยความเคารพ ต่อทุกความเห็น แต่ผมเห็นตรงกันข้ามครับ... ผมเห็นว่า การบอกว่าโดนกดราคาแล้วคั่วกาแฟเองเพื่อขายนั่นคือกลเม็ดมาร์เก็ตติ้งแบบเรียกคะแนนสงสารที่ใช้ไม่ได้ตะหาก กาแฟนิดที่ขึ้นชื่อว่ารสชติดี เป็นที่ต้องการ และราคาแพง อย่าง Kenya เกรด AA ในตลาดโตเกียวอันเป็นตลาดปลายทางของผู้ซื้อ นั้นราคาตกกิโลกรัมละไม่ถึงแปดสิบบาท..... ในขณะที่ กาแฟเลวๆ (ย้ำนะครับ กาแฟเลว ที่หมักน้ำโดยไม่ล้าง มีเศษดินเศษหินปน มีกาแฟเน่าๆ ปน) บนดอยต่างๆ ของประเทศไทย ราคากิโลกรัมละร้อยยี่สิบบาท กาแฟที่ตั้งใจทำ กิโลกรัมละ ร้อยยี่สิบห้าบาท ดังนี้จะเรียกว่ากาแฟโดนกดราคาหรือครับ.... ที่เป็นแบบนี้.. เพราะข้าราชการไทยยัง"หลังเขา"อยู่ครับ... วันหลังเชิญมานั่งดื่มกาแฟคุยกันที่ร้าน... แล้วผมจะเล่าให้ฟังโดยละเอียดแบบไม่หวงภูมิทีเดียวนะ.... ตอบคำถามคุณบรรพตดีกว่าครับ... ไม่งั้นเดี๋ยวผมปี๊ดดดดดขึ้น แล้วจะเคืองผมเอา ;) ๑ คำถามแรก ราคากลาง คือราคา "สารกาแฟ"ครับ สารกาแฟคือกาแฟที่สีเอากะลาออกแล้วแต่ยังไม่คั่ว ๒ ผมแนะนำให้เกษตรกรมี"เครื่องสีกาฟ"เป็นของตัวเองครับ.. ไม่แนะนำให้มีเครื่องคั่วกาแฟ และไม่แนะนำให้คั่วกาแฟขายด้วย... อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ... ที่ผมว่าแบบนี้... เพราะการคั่วกาแฟไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญมากพอสมควร ผมเอง กว่าจะพอมีฝีมือในการคั่วกาแฟได้ในระดับอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าสิบห้าปี (ถ้านับถึงวันนี้ก็มากกว่ายี่สิบห้าปีแล้วครับที่เริ่มคั่วกาแฟมา) ..... หากเกษตรกรเริ่มต้นลงทุนกับเครื่องมือเครื่องไม้ที่ราคาหลายแสน...และเริ่มต้นหัดคั่วกาแฟ focus ก็จะเพี้ยน กลายเป็นเป็ดไป..ทำอะไรได้หลายอย่าง.. แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง.... ไม่ใช่ว่าผมจะขัดแข้งขัดขาใครหรอกนะครับ... หากมีโอกาสได้ผูกมิตรกับเกษตรกรที่คั่วกาแฟขาย(อันมีอยู่มากมายในภาคเหนือของไทย..ที่ได้รับงบสนับสนุนเครื่องคั่วกาแฟจากทางราชการบ้าง ทางเอ็นจีโอหรือองค์กรต่างๆ บ้าง)ในระดับที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดอกแล้วไซร้.... ก็จะบอกว่า.. "ยอมแพ้" ผมเชื่อว่า... ทำอะไรทำให้เก่ง ทำให้ชำนาญแต่อย่างเดียว ให้ผลผลิตของงานที่ทำโดดเด่นขึ้นมา จะง่ายกว่าเป็นเป็ดเหมือนผม..ที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด... และล้มลุกคลุกคลานมาตลอดชีวิตครับ... ด้วยความสัตย์จริง ๓ การปลูกไม้ทั้งสี่อย่างผสมผสานกัน.. การปลูกต้นยางพาราในสวนกาแฟจะร่มเกินไปภายหลังจากเปีที่สิบกว่าๆ ครับ ร่มจะมืด และต้นกาแฟจะบ้าใบ ไม่ให้ผลผลิตเท่าที่ควร กล้วยนั้น ก็พอปลูกได้อยู่ครับ แต่สี่ห้าปีก็ต้องฟันทิ้งเพราะกอกล้วยล้มสร้างความเสียหายให้กับต้นกาแฟ... แต่ในช่วงแรกนับว่าดีครับ เพราะกล้วยนั้นขึ้นชื่ว่าเรียกควมชื้นให้กับดิน และปกคลุมดินได้อย่างดี เป็นอันว่า ปลูกกาแฟระยะห่าง สองคูณสอง โดยแทรกสะตอลงในระยะ แปดคูณสิบ เป็นหลัก แล้วปลูกกล้วย(ไม่เกิน ๕ ปีแรก)ข้างๆ สะตอ ก็พอได้ครับ... ถ้าจะปลูกกล้วยถี่กว่านั้นในช่วงแรกก็ได้ แต่จะเสียพื้นที่ปลูกกาแฟไปบ้าง แล้วค่อยลงกาแฟหลังจากฟันกล้วยทิ้งแล้วก็ยังได้ ๔ ใบบน้ำหยดเข้าท่าที่สุดครับ... ผมเริ่มต้นจากท่อพีวีซี ซึ่งเฟลืองน้ำ... ราคาแพง... แตกหักเสียหายได้ง่ายดายมากๆ แล้วถึงเปลี่ยนเป็นระบบน้ำหยดซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเยี่ยมกู๊ด ๕ ว่าด้วยการเลี้ยงสัตว์ในสวนยาง... ดีมากครับ... สวนสะตอ...ยิ่งดีครับ.... แต่ในสวนกาแฟ... "ห้ามเด็ดขาด" เพราะทั้งวัว แพะ และสัตว์กินพืช จะกินใบและผลกาแฟเป็นอาหาร (จำนวนต้นกาแฟในสวนทศเทพในช่วงแรกลดลงจากสองหมื่นต้นเหลือหกพันต้นในระยะเวลาสองปีนับแต่เราเลี้ยงวัว ๑๐ ตัวโดยหวังว่าจะอาศัยได้กินหญ้าและเอามูลทำปุ๋ยนี่แหละครับ) ยิ่งถ้าเป็นวัวแล้ว... พอน้องวัวโดนยุงกัด โดนริ้นกัด คันเอวคันหลังขึ้นมา... ก็จะยะ ถู... ถู... ถู... หลังถูเอวกับต้นกาแฟ หักราพนาสูรญ์ไปตามๆ กัน.... ช่วงปี ๒๕๓๐ - ๒๕๓๒ เราเลี้ยงวัวครับ... เรียนตามตรงว่า เข็ด... เหอเหอ ดั้งนั้น.. อย่างที่คณกลัวนั้นถูกต้องแล้วครับ.... นับเป็นความสยองของชาวสวนกาแฟทีเดียว...
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ต้น ทวยเทพฯ (boss-at-thecoffeecartel-dot-co-dot-th) วันที่ตอบ 2010-09-30 13:11:53 IP : 124.122.254.239 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2114027) | |
ต้น ทวยเทพฯ | ด้วยความเคารพ ต่อทุกความเห็น แต่ผมเห็นตรงกันข้ามครับ... ผมเห็นว่า การบอกว่าโดนกดราคาแล้วคั่วกาแฟเองเพื่อขายนั่นคือกลเม็ดมาร์เก็ตติ้งแบบเรียกคะแนนสงสารที่ใช้ไม่ได้ตะหาก กาแฟนิดที่ขึ้นชื่อว่ารสชติดี เป็นที่ต้องการ และราคาแพง อย่าง Kenya เกรด AA ในตลาดโตเกียวอันเป็นตลาดปลายทางของผู้ซื้อ นั้นราคาตกกิโลกรัมละไม่ถึงแปดสิบบาท..... ในขณะที่ กาแฟเลวๆ (ย้ำนะครับ กาแฟเลว ที่หมักน้ำโดยไม่ล้าง มีเศษดินเศษหินปน มีกาแฟเน่าๆ ปน) บนดอยต่างๆ ของประเทศไทย ราคากิโลกรัมละร้อยยี่สิบบาท กาแฟที่ตั้งใจทำ กิโลกรัมละ ร้อยยี่สิบห้าบาท ดังนี้จะเรียกว่ากาแฟโดนกดราคาหรือครับ.... ที่เป็นแบบนี้.. เพราะข้าราชการไทยยัง"หลังเขา"อยู่ครับ... วันหลังเชิญมานั่งดื่มกาแฟคุยกันที่ร้าน... แล้วผมจะเล่าให้ฟังโดยละเอียดแบบไม่หวงภูมิทีเดียวนะ.... ตอบคำถามคุณบรรพตดีกว่าครับ... ไม่งั้นเดี๋ยวผมปี๊ดดดดดขึ้น แล้วจะเคืองผมเอา ;) ๑ คำถามแรก ราคากลาง คือราคา "สารกาแฟ"ครับ สารกาแฟคือกาแฟที่สีเอากะลาออกแล้วแต่ยังไม่คั่ว ๒ ผมแนะนำให้เกษตรกรมี"เครื่องสีกาฟ"เป็นของตัวเองครับ.. ไม่แนะนำให้มีเครื่องคั่วกาแฟ และไม่แนะนำให้คั่วกาแฟขายด้วย... อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ... ที่ผมว่าแบบนี้... เพราะการคั่วกาแฟไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญมากพอสมควร ผมเอง กว่าจะพอมีฝีมือในการคั่วกาแฟได้ในระดับอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าสิบห้าปี (ถ้านับถึงวันนี้ก็มากกว่ายี่สิบห้าปีแล้วครับที่เริ่มคั่วกาแฟมา) ..... หากเกษตรกรเริ่มต้นลงทุนกับเครื่องมือเครื่องไม้ที่ราคาหลายแสน...และเริ่มต้นหัดคั่วกาแฟ focus ก็จะเพี้ยน กลายเป็นเป็ดไป..ทำอะไรได้หลายอย่าง.. แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง.... ไม่ใช่ว่าผมจะขัดแข้งขัดขาใครหรอกนะครับ... หากมีโอกาสได้ผูกมิตรกับเกษตรกรที่คั่วกาแฟขาย(อันมีอยู่มากมายในภาคเหนือของไทย..ที่ได้รับงบสนับสนุนเครื่องคั่วกาแฟจากทางราชการบ้าง ทางเอ็นจีโอหรือองค์กรต่างๆ บ้าง)ในระดับที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดอกแล้วไซร้.... ก็จะบอกว่า.. "ยอมแพ้" ผมเชื่อว่า... ทำอะไรทำให้เก่ง ทำให้ชำนาญแต่อย่างเดียว ให้ผลผลิตของงานที่ทำโดดเด่นขึ้นมา จะง่ายกว่าเป็นเป็ดเหมือนผม..ที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด... และล้มลุกคลุกคลานมาตลอดชีวิตครับ... ด้วยความสัตย์จริง ๓ การปลูกไม้ทั้งสี่อย่างผสมผสานกัน.. การปลูกต้นยางพาราในสวนกาแฟจะร่มเกินไปภายหลังจากเปีที่สิบกว่าๆ ครับ ร่มจะมืด และต้นกาแฟจะบ้าใบ ไม่ให้ผลผลิตเท่าที่ควร กล้วยนั้น ก็พอปลูกได้อยู่ครับ แต่สี่ห้าปีก็ต้องฟันทิ้งเพราะกอกล้วยล้มสร้างความเสียหายให้กับต้นกาแฟ... แต่ในช่วงแรกนับว่าดีครับ เพราะกล้วยนั้นขึ้นชื่ว่าเรียกควมชื้นให้กับดิน และปกคลุมดินได้อย่างดี เป็นอันว่า ปลูกกาแฟระยะห่าง สองคูณสอง โดยแทรกสะตอลงในระยะ แปดคูณสิบ เป็นหลัก แล้วปลูกกล้วย(ไม่เกิน ๕ ปีแรก)ข้างๆ สะตอ ก็พอได้ครับ... ถ้าจะปลูกกล้วยถี่กว่านั้นในช่วงแรกก็ได้ แต่จะเสียพื้นที่ปลูกกาแฟไปบ้าง แล้วค่อยลงกาแฟหลังจากฟันกล้วยทิ้งแล้วก็ยังได้ ๔ ใบบน้ำหยดเข้าท่าที่สุดครับ... ผมเริ่มต้นจากท่อพีวีซี ซึ่งเฟลืองน้ำ... ราคาแพง... แตกหักเสียหายได้ง่ายดายมากๆ แล้วถึงเปลี่ยนเป็นระบบน้ำหยดซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเยี่ยมกู๊ด ๕ ว่าด้วยการเลี้ยงสัตว์ในสวนยาง... ดีมากครับ... สวนสะตอ...ยิ่งดีครับ.... แต่ในสวนกาแฟ... "ห้ามเด็ดขาด" เพราะทั้งวัว แพะ และสัตว์กินพืช จะกินใบและผลกาแฟเป็นอาหาร (จำนวนต้นกาแฟในสวนทศเทพในช่วงแรกลดลงจากสองหมื่นต้นเหลือหกพันต้นในระยะเวลาสองปีนับแต่เราเลี้ยงวัว ๑๐ ตัวโดยหวังว่าจะอาศัยได้กินหญ้าและเอามูลทำปุ๋ยนี่แหละครับ) ยิ่งถ้าเป็นวัวแล้ว... พอน้องวัวโดนยุงกัด โดนริ้นกัด คันเอวคันหลังขึ้นมา... ก็จะยะ ถู... ถู... ถู... หลังถูเอวกับต้นกาแฟ หักราพนาสูรญ์ไปตามๆ กัน.... ช่วงปี ๒๕๓๐ - ๒๕๓๒ เราเลี้ยงวัวครับ... เรียนตามตรงว่า เข็ด... เหอเหอ ดั้งนั้น.. อย่างที่คณกลัวนั้นถูกต้องแล้วครับ.... นับเป็นความสยองของชาวสวนกาแฟทีเดียว...
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ต้น ทวยเทพฯ (boss-at-thecoffeecartel-dot-co-dot-th) วันที่ตอบ 2010-09-30 13:12:07 IP : 124.122.254.239 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2114053) | |
Bluefin | ขอบคุณครับคุณต้น ได้ความกระจ่างขึ้นมากเลยครับ ตอนนี้ผมได้เริ่มต้นมองหาที่ทางและวางแผนเรื่องงบประมาณครับ คงจะเริ่มต้นแบบเล็กๆตามที่คุณต้นแนะนำไปก่อน เพราะอย่างที่บอกครับความรู้ในเชิงปฏิบัติผมเรียกได้ว่าเป็นศูนย์และหากได้เริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างถ้าไม่คิดบวชไม่สึกเสียก่อนคงเรียกว่าเพิ่งได้เรียน ก ไก่ เท่านั้น :) และขอบคุณที่เชิญผมไปนั่งดื่มกาแฟคุยกันที่ร้านนะครับ คิดว่าถ้ามีโอกาสคงได้ไปรบกวนครับ และผมยังคงย้ำคำเดิมครับว่าผมอยากให้มีคนอย่างคุณต้นมากๆในบ้านเรา เพราะผมเชื่อว่าหากสังคมเราอยู่ด้วยการแบ่งปันเกื้อกูลกัน อยู่ด้วยความพอเพียง มิใช่แย่งกันชิงดีชิงเด่นกัน แล้วสังคมไทยจะเจริญเติบโตอย่างมั่นคงด้วยความสงบร่มเย็น ไม่แพ้ชาติไหนในโลก ขอบคุณจากใจอีกครั้งครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น Bluefin วันที่ตอบ 2010-09-30 14:47:54 IP : 118.174.114.171 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2114140) | |
ต้น ทวยเทพฯ | พิมพ์ผิดพิมพ์ตก ขออนุญาตยกเว้นนะครับ... คีบอร์ดมีปัญหา....
แล้วก็ ,,, ขออนุญาตเขินจากใจจริงอีกครั้ง... เช่นกันครับ.... ;) |
ผู้แสดงความคิดเห็น ต้น ทวยเทพฯ (boss-at-thecoffeecartel-dot-co-dot-th) วันที่ตอบ 2010-09-30 19:07:29 IP : 124.121.175.138 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |